ในปัจจุบัน กระแสความนิยมของ Video Advertising และ Video Banner พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรวดเร็วของ Internet ซึ่งปัจจุบันคงจะเป็น ADSL กันแทบจะทุกบ้าน อีกทั้งมือถือก็มีความเร็วในระดับ 3G นี่น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ความสะดวก และ experience ที่ได้จากการรับชม Online Video สูงยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก TrueView Ad หรือ Google Display Network ซึ่ง Media Platform ทั้งสองตัวนี้ ช่วยให้เราสามารถลงโฆษณาที่เป็น Video Banner ราคาที่ถูกกว่าแต่ก่อนมากมาย (เมื่อก่อน Video Banner อาจจะอยู่ที่ 350 บาท ต่อ CPM ขึ้นไป และยังไม่รวมค่า Ad Serving อีกต่างหาก)
ดังนั้นการแข่งขันในปัจจุบันจึงอยู่ที่ว่า ใครจะสามารถลด Video Banner ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ากัน ทาง Flexmedia โดยทีม ROI จึงได้รวบรวมเคล็บลับง่ายๆ 5 ข้อ ที่จะช่วยลดต้นทุนในการซื้อ Video Banner แบบมืออาชีพ;
1. การกำหนด Target Audience ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็น Demographic หรือ Interest ต้องไม่กว้างจนเกินไป จริงอยู่ถึงแม้คุณจะมี Campaign ที่เน้นการสร้าง Brand Awareness ที่เน้นคนทั่วไป แต่คุณก็ยังต้อง match ความสนใจของคนเหล่านั้น ในขณะที่เค้ากำลังใช้เวบอยู่ด้วย
ไม่ว่าจะเป็น Demographic หรือ Interest ต้องไม่กว้างจนเกินไป จริงอยู่ถึงแม้คุณจะมี Campaign ที่เน้นการสร้าง Brand Awareness ที่เน้นคนทั่วไป แต่คุณก็ยังต้อง match ความสนใจของคนเหล่านั้น ในขณะที่เค้ากำลังใช้เวบอยู่ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือ กลุ่มผู้หญิง วัยทำงาน อายุ 25-35 ปี สินค้าของคุณเป็นกระเป๋าแฟชั่น สุดชิก
คุณคงไม่อยากลง Video Banner ใน Section Gossip ดาราเป็นแน่ เพราะถึงแม้ Demographic จะตรงกันก็จริง แต่ Psycographic อาจจะไม่ตรงกัน คุณอาจจะต้องระวังระดับ ความสนใจ และความรู้สึกบวกลบ ของผู้ชมในขณะนั้นด้วย ว่าสอดคล้องกันไหม…
คุณคงไม่อยากลง Video Banner ใน Section Gossip ดาราเป็นแน่ เพราะถึงแม้ Demographic จะตรงกันก็จริง แต่ Psycographic อาจจะไม่ตรงกัน คุณอาจจะต้องระวังระดับ ความสนใจ และความรู้สึกบวกลบ ของผู้ชมในขณะนั้นด้วย ว่าสอดคล้องกันไหม…
2. การกำหนดเว็บไซต์ และ Topic ของเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมกับตัวสินค้าการกำหนด Site Placement และ หัวข้อ Keywords ในการ Target Video Banner นั้น ควรเน้นให้มีความสอดคล้องกับ Key Message และการเล่าเรื่องที่ไปในทิศทางเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้าคุณคือ อาหารเสริมสำหรับผู้ชาย คนส่วนใหญ่มักจะ Target Site Placement ไปที่ web portal ใน section กีฬา เพราะมองว่า ผู้ชายน่าจะไปออกันอยู่ตรงนั้น ความจริงก็คือ เวบกีฬาในปัจจุบันก็มีผู้หญิงเข้าชมเยอะมาก สู้เรา Target ไปที่ website ที่มี content sexy และใช้ keywords sexy ไปเลยตรงๆจะดีกว่า…
3. ลง Banner Size ขนาดต่างๆ เพื่อสร้างโอกาสในการขึ้นแสดงในเว็บไซต์มากขึ้นหากเราสังเกตให้ดีจะพบว่า Video Banner Size ยอดนิยม คงหนีไม่พ้น 300×250 pixel ซึ่งเวบส่วนใหญ่ก็มีเยอะพอสมควร
แต่ Banner ที่เวบไซต์ส่วนใหญ่นิยมมีกันจริงๆก็คือ 728×90 pixel และ 468×60 pixel รวมไปถึง 120×600 pixel ซึ่งเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ Advertiser ส่วนใหญ่เลยไม่ได้ทำ Video Banner size เหล่านี้กัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว Banner ขนาด 728×90 มีปริมาณ inventory เยอะกว่าแบบอื่นๆ หลายเท่า!
แต่ Banner ที่เวบไซต์ส่วนใหญ่นิยมมีกันจริงๆก็คือ 728×90 pixel และ 468×60 pixel รวมไปถึง 120×600 pixel ซึ่งเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ Advertiser ส่วนใหญ่เลยไม่ได้ทำ Video Banner size เหล่านี้กัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว Banner ขนาด 728×90 มีปริมาณ inventory เยอะกว่าแบบอื่นๆ หลายเท่า!
ถ้าไปดูในระบบของ Google เราจะพบว่า Google รองรับ Video Banner หลาย size ด้วยกัน ดังนี้
Video ads are available in the follow supported sizes:
- Leaderboard (728 x 90)
- Skyscraper (120 x 600)
- Wide skyscraper (160 x 600)
- Small square (200 x 200)
- Square (250 x 250)
- Large rectangle (336 x 280)
- Rectangle (300 x 250)
เพราะฉะนั้นอย่าลืมเพิ่มโอกาสของคุณด้วยการเลือก Video Banner ให้ครบทุก Size เท่าที่จะทำได้…
4. ทำ Look & Feel ของตัว Banner เริ่มต้นให้มีความน่าสนใจ
เนื่องจากเรากำลังรับมืออยู่กับผู้บริโภค ที่มีทางเลือกใหม่ และใจร้อน เค้าสามารถกด Skip Ad หรือ Click ไปที่อื่นได้ง่ายๆ (นี่คือจุดหนึ่งที่โฆษณาในโรงภาพยนต์มีประสิทธิผลสูงมาก เพราะผู้ชมลุกหนีไปไหนไม่ได้) ดังนั้นเพื่อที่สร้างยอดในการชม และเพิ่มPerformance ให้กับ Campaign เราควรจะต้องใช้ Video ที่โดดเด่น มีแรงดึงดูด และเรียกร้องความสนใจจากผู้ชมได้ภายใน 5 วินาทีแรก!!
เนื่องจากเรากำลังรับมืออยู่กับผู้บริโภค ที่มีทางเลือกใหม่ และใจร้อน เค้าสามารถกด Skip Ad หรือ Click ไปที่อื่นได้ง่ายๆ (นี่คือจุดหนึ่งที่โฆษณาในโรงภาพยนต์มีประสิทธิผลสูงมาก เพราะผู้ชมลุกหนีไปไหนไม่ได้) ดังนั้นเพื่อที่สร้างยอดในการชม และเพิ่มPerformance ให้กับ Campaign เราควรจะต้องใช้ Video ที่โดดเด่น มีแรงดึงดูด และเรียกร้องความสนใจจากผู้ชมได้ภายใน 5 วินาทีแรก!!
ไม่เช่นนั้นโอกาสที่คุณจะโดนกด Skip Ad จะสูงมาก เพราะฉะนั้น Video ประเภทค่อยๆ Build อารมณ์ขึ้นมา หรือเล่าเรื่องช้าๆ อาจจะพลาดโอกาสไปได้ง่ายๆ ยกเว้นเสียแต่จะเป็น Viral Video ที่มีคนพูดถึงกันจริงๆ
5. ทำการ Optimize Campaign อย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลลัพท์ที่ดีขึ้นการที่เราคอยปรับปรุง และปรับเปลี่ยน target หรือ Ad group มีผลอย่างมากต่อต้นทุน และปริมาณ click ที่จะได้ในแต่ละ campaign การทยอยลด site placement ที่มี CTR ต่ำจนเกินไป และไปเพิ่ม Bid สู้ใน placement หรือ keyword ที่ Google Analytics ได้ track แล้วว่าสามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง จะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพของ Campaign ขึ้นมาทีละนิด
5. ทำการ Optimize Campaign อย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลลัพท์ที่ดีขึ้นการที่เราคอยปรับปรุง และปรับเปลี่ยน target หรือ Ad group มีผลอย่างมากต่อต้นทุน และปริมาณ click ที่จะได้ในแต่ละ campaign การทยอยลด site placement ที่มี CTR ต่ำจนเกินไป และไปเพิ่ม Bid สู้ใน placement หรือ keyword ที่ Google Analytics ได้ track แล้วว่าสามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง จะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพของ Campaign ขึ้นมาทีละนิด
Campaign Optimization ก็คือ การลดและปรับปรุงต้นทุนของ cost/click และ cost/action ทีละนิด อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Digital Agency ส่วนใหญ่จะมี Tools หรือ Know-how ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง หากคุณต้องการประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการทำ Campaign ที่เป็น Online Video สามารถขอรับคำปรึกษาฟรีได้ที่ komjak แอท flexmedia.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น