วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

วิธี การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง เพื่อทำให้คุณเป็นคนฉลาดกว่าคนอื่น

วิธี การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ในศักยภาพสมองของตน

      การที่จะเป็นคนฉลาดได้ คุณจำเป็นต้องเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อว่าตนเองสามารถเป็นคนที่ฉลาดได้ สร้างความเชื่อว่าตนเองเป็นคนเก่งสามารถทำอะไรตามที่ใจปรารถนาได้ทุกประการ การสร้างความเชื่อให้สมองรับรู้ความต้องการของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราจะทำอะไรไม่สำเร็จหากขาดความเชื่อในสิ่งที่ตนเองกำลังทำ ดังนั้น คุณจำเป็นที่จะต้องทำให้สมองของคุณเชื่อเสียก่อนว่า คุณสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการได้

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย ปลูกฝังความเชื่อ

      การปลูกฝังความเชื่อเป็นวิธีการสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง วิธีที่ดีที่สุดในการฝังความเชื่อลงในสมองของคุณคือ การพูดกับกระจก ถ้าคุณอยากจะเป็นคนเก่งให้คุณพูดกับกระจกว่า ฉันเป็นคนเก่งฉันสามารถเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองฉลาดขึ้น บอกตนเองบ่อยๆ สักร้อยครั้งทำเป็นประจำ หลังจากนั้นคุณจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงว่าคุณเป็นคนที่ฉลาดขึ้นจริงๆ (แต่คนฉลาดไม่ใช่ดีแต่พูด ต้องรู้จักลงมือปฏิบัติด้วยถึงจะได้ผลดี)

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย การคิดบวก

การสร้างความคิดบวกหรือมองโลกในแง่ดี เป็นความคิดที่ช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้เร็ว คิดหวังสิ่งใดก็สมหวังสมความปรารถนา คนที่รู้จักคิดบวกและไม่ค่อยกลัวอุปสรรคและความล้มเหลวเพราะต่อให้มีเรื่องเหลวร้ายแค่ไหนเข้ามาในชีวิตก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เพราะคนคิดบวกมักจะเห็นแสงสว่างในความมืดมนเสมอ
การฝึกคิดบวก คือการฝึกคิดให้มีความสุข อย่านึกถึงแต่เรื่องของตนเองมากไป ลองมองรอบข้างด้วยจิตใจที่แบ่งปัน แล้วคุณจะมองเห็นว่าสิ่งรอบข้างสวยงามและมีความสุขมากขึ้น ที่สำคัญ ให้ขจัดคำพูดที่ไม่ดีในสมองออกไป อย่างฝังสมองในเชิงปฎิเสธด้วยคำว่า อย่า ห้าม เช่น ฉันไม่อยากเป็นคนโง่ ให้เปลี่ยนวิธีพูดเป็น ฉันต้องการเป็นคนฉลาด รู้จักคิดบวก พูดในทางบวก ก็จะทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ทำให้สิ่งที่คุณคิดหวังเป็นจริง

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย ศรัทธากับสิ่งที่ทำ

ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า Everything is possible (อะไรก็เป็นไปได้) อยากจะทำอาชีพอะไรก็ทำได้ อยากจะเป็นอะไรก็เป็นได้ อยากจะรวยก็รวยได้ อยากจะเก่งก็เก่งได้ ขอให้มีสิ่งเดียวคือ ความศรัทธา มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ต้องการจะทำ มีใจรัก และความตั้งใจให้แนวแน่ว่าจะต้องทำมันให้สำเร็จ มุ่งหน้าไปยังสิ่งที่ต้องการ หาโอกาสให้กับตนเองได้เข้าไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น อย่าเสื่อมศรัทธากับสิ่งที่คุณเชื่อ แต่จงทำให้ถึงที่สุด ประตูแห่งความสำเร็จกำลังเปิดรอคุณอยู่

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย ตอกย้ำ ทำซ้ำ เพื่อสร้างความคิดในจิตใจใต้สำนึก

     การทำอะไรซ้ำๆ จะเกิดเป็นความเคยชิน ถ้าหากคุณยังรู้สึกว่าไม่เชื่อมั่นในตนเอง ไม่เชื่อว่าตนเองทำได้ ให้บอกกับตนเองซ้ำๆ ในสิ่งที่คุณต้องการทำ เช่น คุณอยากเป็นคนฉลาด ให้บอกกับตนเองว่า ฉันสามารถเป็นคนฉลาดได้มากกว่า ฉันจะพัฒนาตัวเองให้ฉลาดขึ้น บอกกับตนเองซ้ำๆ วันละ 3 หน ถ้ารู้สึกว่าตนเองเริ่มโง่ ก็บอกกับตนเองด้วยประโยคเดิมๆ ด้วยการพูดเสียงดังฟังชัดและมั่นใจ เพื่อให้ตัวคุณเองเชื่อมั่นจริงๆ ว่าทำได้

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย  ใช้สติหยุดความคิดด้านลบ

สติคือการระลึกรู้ความผิดชอบชั่วดี เมื่อมีสติเราก็สามารถคิด ทำและพูดในสิ่งที่ถูกที่ควร การมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลาจะช่วยลดความฟุ้งซ่านที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆ เช่น อารมณ์เบื่อในการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีสติ รู้ว่าการอ่านหนังสือไม่เป็นผลดีต่อการเรียนรู้ ก็ให้ใช้สติเป็นเครื่องมือยับยั้งความคิดลบ เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า การเบื่อที่จะอ่านหนังสือนั้นจะทำให้สอบตกได้ ทำให้เรียนได้ไม่ดี นอกจากนี้สติยังเป็นเครื่องมือช่วยกระตุ้นให้ขวนขวายทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความสำนึกในหน้าที่ และช่วยให้มีความละเอียดรอบคอบในการเรียนรู้หรือทำงาน

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย ตั้งเป้าหมายในชีวิต

การตั้งเป้าหมายในชีวิตคือการวางแผนในชีวิตของตนให้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ คือการวางเป้าหมายให้ชีวิตมีความสุข มีความเจริญก้านหน้าในชีวิต คนที่รู้จักพัฒนาความก้าวหน้าต้องเป็นคนที่รู้จักวางตน ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร เป้าหมายในชีวิตต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความดีงามและความถูกต้อง พยายามเสาะแสวงหาความรู้ ความสามารถ มุ่งมั่นฝึกตนเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตที่ตั้งไว้

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย เอาชนะใจตนเอง

การเอาชนะใจตนเองไม่ใช้เรื่องง่าย เพราะต้องต่อสู้กับความรู้สึกภายในของตนเอง หรือจิตใจของเราที่มีความนึกคิดตลอดเวลา การคิดที่ขาดสติ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ หรือความประมาท เป็นตันตอของปัญหาและนำไปสู่ความล้มเหลว การฝึกเอาชนะใจตนจึงเป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องรู้จักหักห้ามใจ ฝืนใจ รู้จักจูงใจตนเองให้มีความ เช่น  ถ้ารู้สึกไม่อยากอ่านหนังสือ ก็ต้องเอาชนะใจด้วยการจูงใจให้ตนเองอ่านหนังสือ สู้กับความรู้สึกที่ไม่ดี เพื่อให้เป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นจริง

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย เริ่มต้นกับสิ่งที่ทำให้มีความสุข

การกระตุ้นสมองให้เชื่อว่าตัวคุณเองเป็นคนเก่ง เป็นคนมีความสามารถ คือการเริ่มต้นทำในสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข เพราะความสุขทำให้เกิดความคิดในแง่บวก
ถ้าคุณประสบปัญหาในการเรียนรู้หรือในสิ่งที่คุณทำอย่างมีความสุข คุณก็จะผ่านมันไปได้ เพราะคุณทำมันด้วยใจรัก เมื่อคุณประสบความสำเร็จกับสิ่งที่คุณรัก มันก็จะกลายเป็นการเริ่มต้นในสิ่งที่ดีในการเรียนรู้สิ่งอื่นๆ ที่คุณต้องการ

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เป็นสุภาษิตที่นำมาซึ่งความสำเร็จ มนุษย์เราทุกคนมีความอยาก อยากจะเป็นโน่นอยากจะเป็นนี่ อยากเก่งเหมือนคนโน้นคนนี้ แต่นั้นก็เป็นแค่ความรู้สึกอยากเท่านั้น คุณลองเปลี่ยนความอยากให้เป็นความพยายาม พยายามในสิ่งที่คุณต้องการจะเป็น ทุ่มเทกายใจ ทำให้มันสุดความสามารถ อย่ายอมแพ้มันง่ายๆ จนกว่าคุณจะประสบความสำเร็จ
ถ้ารู้สึกท้อให้ท่องว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แล้วผลสุดท้ายความสำเร็จก็จะตามมาเอง

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดย ล้มแล้วต้องลุก

คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตล้วนผ่านอุปสรรคและความล้มเหลวมาด้วยกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ต้องลองผิดลองถูกในการหลายวิธีบรรลุนิพพาน ต้องผจญกับเหล่าหมู่มารกว่าจะบรรลุนิพพานได้ เราเองก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะประสบความล้มเหลว แต่ถ้ารู้จักลุกขึ้นสู้ นำสิ่งที่ผิดพลาดมาเป็นบทเรียน มองเห็นแสงสว่างในความล้มเหลวนั้น จะทำให้ประสบความสำเร็จในไม่ช้า

25 วิธี ทำตัวเองให้ฉลาด (ขึ้น)

ม่ว่าจะเป็นใครก็คงอยากจะถูกชมว่าเป็นคนฉลาดด้วยกันทั้งนั้น

หลายคนเชื่อว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่ติดมากับตัว ถ้าโตแล้วก็คงหมดโอกาสที่จะทำให้ตัวเองฉลาดขึ้น ...หลายคนเลยปักใจเชื่อว่าตัวเองเป็นคนไม่ฉลาดจนยากจะเยียวยา 

แต่ความจริงแล้ว คนส่วนใหญ่ใช้สมองไม่เต็มศักยภาพที่ตัวเองมี ทั้งเพราะความเคยชินและต้องการความสะดวกสบาย

ถ้าหากเมื่อไหร่ที่สมองส่วนที่ถูกละเลย ได้รับการบริหารด้วยการคิดแบบมีระบบ ก็จะช่วยให้คนๆ นั้นกลับมาเป็นคนที่ใช้สมองได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือที่หลายคนเรียกว่า ฉลาดขึ้นนั่นเอง

 
แต่วิธีไหนบ้างล่ะที่จะทำให้เราฉลาดขึ้นอย่างที่ว่า เราไปดูข้อมูลจาก "นิตยสารนิวส์วีค" กัน

1. เล่นทายปัญหากับเพื่อนๆ
     การเล่นทายปัญหาอาจดูเหมือนเป็นเรื่องของเด็กๆ และเสียเวลา แต่จริงๆ แล้วมีผลการวิจัยออกมารองรับว่าการทายปัญหาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ลง ... การเล่นเกมทางโทรศัพท์ก็ใช้ได้เช่นกัน เพราะช่วยบริหารสมองได้อีกทางหนึ่ง

2. กินขมิ้นให้บ่อย
     ขมิ้นในที่นี้ก็หมายถึงขมิ้นที่อยู่ในอาหารไทยของเรานี่แหละ เชื่อกันว่าขมิ้นมีสารประกอบบางอย่างที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ลง

3. เล่นสควอชหรือเต้นรำ
     กิจกรรมเหล่านี้นอกจากจะทำให้หัวใจเต้นแรงแล้ว ก็ยังบังคับให้เราต้องใช้สมองไปในเวลาเดียว

4. ดูข่าวจากสำนักข่าวอัล จาซีร่า
     จากการศึกษาในปี 2009 พบว่า ผู้ที่ชมข่าวจากอัล จาซีร่า ภาคภาษาอังกฤษ จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ได้มากกว่าคนที่ดูข่าวจาก ซีเอ็นเอ็น หรือ บีบีซี ซึ่งการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ก็ย่อมจะทำให้เราฉลาดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

5. โยนโทรศัพท์ทิ้งบ้าง
     แม้ปัจจุบันจะเป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร แต่การปิดโทรศัพท์หรือปิดอินเตอร์เน็ตในบางช่วง ก็ทำให้เรามีสมาธิกับงานที่ทำมากขึ้น

6. นอนให้เยอะ
     ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า แม้เราจะหลับไปแล้วแต่สมองของคนเราจะยังคงพัฒนาในด้านความจำต่อไป และการพักผ่อนให้เต็มที่จะช่วยให้เราเรียกเอาความจำเหล่านั้นกลับมาได้ดีขึ้นในภายหลัง

7. หาเวลาไปงานเทศกาลหนังสือ
     เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าหนังสือเป็นคลังของความรู้อยู่แล้ว

8. สร้างกล่องความทรงจำขึ้นด้วยตัวเอง     เทคนิคที่จะทำให้เราจำเรื่องต่างๆ ได้ดีขึ้น ก็คือการจำเรื่องต่างๆ โดยนำไปเชื่อมโยงกับภาพ เช่น เห็นภาพๆ หนึ่ง ทำให้นึกถึงเรื่องราวหนึ่งขึ้นมาได้

9. เรียนภาษาที่ 2 ที่ 3
     การเรียนภาษาที่ 2 หรือที่ 3 จะช่วยให้สมองในส่วนของ Prefrontal cortex ซึ่งส่งผลต่อการใช้เหตุผลใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ-ทำงานได้ดีมากขึ้น

10. กินดาร์กช็อกโกแลต
     ดาร์กช็อกโกแลตอาจไม่ได้ช่วยเพิ่มความฉลาดให้เรา แต่มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยต่อต้านสารต้านอนุมูลอิสระและจะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด

11. ถักนิตติ้ง
     การถักนิตติ้งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการกระบวนการจัดลำดับความคิด

12. ไม่ยิ้มบ้างก็ได้
     จากการวิจัยพบว่าการทำหน้าตาสงสัยเป็นการแสดงออกที่ง่ายที่สุดว่าคุณกำลังใช้ความคิดอยู่

13. เล่นเกมที่โหดๆ
     หมายถึงการเล่นบ้างเป็นครั้งคราว เพราะการเล่นเกมที่โหดๆ บ้างจะช่วยลดความรู้สึกตึงเครียดจากการทำงานหรือเรื่องต่างๆ ของคุณลงได้

14. ฟอลโลว์ทวิตเตอร์คนดังที่น่าสนใจ
     จะช่วยให้คุณได้มุมมองในการดำเนินชีวิตแบบใหม่มาใช้ ยกตัวอย่างเช่น นูเรียล รูบินี นักเศรษฐศาสตร์และศาสตราจารย์แห่งคณะบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

15. กินโยเกิร์ต
     ในโยเกิร์ตมีโพรไบโอติก ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ซึ่งก็รวมไปถึงช่วยให้มีความจำดีอีกด้วย

16. โหลดโปรแกรมช่วยจำอย่าง SuperMemo มาใช้
     การจำอะไรได้เองก็เป็นเรื่องดี แต่บางทีเราอาจมีเรื่องที่ต้องจดจำมากเกินไป ดังนั้น หากมีโปรแกรมดีๆ ช่วยจดจำตารางงานอีกทางหนึ่ง ก็จะทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

17. ตรวจสอบระบบการทำงานของสมอง
     เดเนี่ยล คาห์เนมัน กล่าวเอาไว้ว่า รูปแบบความคิดของเรามี 2 ลักษณะคือ คิดเร็วและเป็นไปแบบอัตโนมัติ กับคิดช้าและต้องใช้ความพยายามมากหน่อย การเรียนรู้การทำงานของสมองจะช่วยให้เราตรวจสอบตัวเองได้ว่า ขณะนั้นระบบความคิดของเราเป็นไปในลักษณะใด  

18. ดื่มน้่ำให้มาก
     การขาดน้ำจะทำให้สมองทำงานหนักและอาจลดความสามารถในการวางแผนลงไป

19. เล่นดนตรี
     การจดจำตัวโน้ต เพื่อเล่นดนตรีช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองในด้านความจำและการจัดลำดับความคิด

20. เขียนสิ่งต่างๆด้วยมือ
     การพิมพ์อาจจะทำได้สะดวกและรวดเร็วกว่าก็จริง แต่การเขียนจะทำให้สมองได้ทำงานมากกว่า เพราะกลไกของการเขียนมีความซับซ้อนมากกว่าการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์

21. ปล่อยให้สมองได้คิดในเรื่องต่างๆบ้าง
     การตั้งคำถามกับเรื่องต่างๆ เพื่อให้สมองได้คิดบ้าง เป็นการบริหารสมองอย่างหนึ่ง

22. ดื่มกาแฟ
     มีการสำรวจว่าผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้ว จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าน้อยกกว่าผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 1 แก้วต่อสัปดาห์

23. รู้จักเก็บความรู้สึกพึงพอใจ
     มีการศึกษาว่า เด็กที่มีความต้านทานต่อการกินขนมหวานได้นานกว่า จะมีคะแนนสอบที่ดีกว่าเด็กที่หยิบมันขึ้นมากินเลยในทันที 

24. เขียนรีวิวเรื่องต่างๆ ลงบล็อก
     การลงมือเขียนสิ่งต่างๆ ลงบล็อกส่วนตัว จะทำให้สมองของเราทำงานเป็นระบบโดยอัตโนมัติ เพราะเราต้องเริ่มตั้งแต่การลำดับความคิด การเรียบเรียงสิ่งที่จะเขียน การเลือกภาษามาใช้เขียนและสร้างสรรเรื่องราวต่างๆ ออกมา 


25. ออกนอกเมืองบ้าง
     การออกไปเปิดหูเปิดตานอกเมือง จะช่วยให้สมองได้รับมือกับสิ่งเร้าที่น่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น ถือเป็นการพัฒนาสมองในอีกทางหนึ่ง 

5 เรื่องที่ควร "หัดซะบ้าง" ถ้าอยากเป็น Genius


พูดถึง Genius ขึ้นมา น้องๆ คงนึกถึงกลุ่มเพื่อนที่ไปสอบโอลิมปิกวิชาการแล้วกอบโกยเหรียญรางวัลกลับมามากมาย -0- ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นหรอกค่ะ คำว่า Genius ไม่ได้หมายถึงเด็กเรียนเก่งเว่อร์ๆ อัจฉริยะมาตั้งแต่เกิด แต่ความฉลาดเกิดขึ้นจากระบบความคิดทางสมอง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ว่าใครก็สามารถพัฒนาตัวเองได้ นี่ไม่ใช่คำพูดปลอบใจนะคะ เพราะบางคนตอนเด็กๆ เรียนรั้งท้ายในห้องตลอด แต่ความพยายามในการฝึกฝนก็ทำให้เค้าแซงเพื่อนมาเป็นที่ 1 ได้ง่ายๆ เลย

แต่ก่อนจะไปรู้จักวิธีพัฒนาตัวเอง ต้องรู้ก่อนว่าคนฉลาดมีวิธีคิดยังไง? โดยทั่วไประบบวิธีคิดของคนฉลาดจะมองทุกอย่างรอบด้านและสามารถคิดเป็นภาพได้

ในเคล็ดลับการเรียนหลายๆ เรื่องของพี่มิ้นท์และบทความพัฒนาสมองของพี่เกียรติ จะให้ความสำคัญกับการคิดเป็นภาพเสมอ เพราะวิธีนี้ช่วยให้สมองทำงานมีประสิทธิภาพจริงๆ ค่ะ เช่น คนธรรมดาทั่วไปอ่านหนังสือก็อ่านตัวอักษรให้มันจบๆ ไป ส่วนคนที่สมองทำงานเป็นระบบหน่อย จะใช้สมองทั้งสองข้าง พูดง่ายๆ คือ อ่านตัวหนังสือด้วยและใช้จินตนาการสร้างเป็นภาพหรือเหตุการณ์ขึ้นไปด้วย ซึ่งจะช่วยจดจำเรื่องที่อ่านได้ดีสุดๆ ถ้าอยากเป็นคนที่มีทักษะนี้บ้างคงต้องฝึกกันบ่อยๆ นะคะ ส่วนพฤติกรรมอื่นที่จะโยงไปสู่ความเป็นอัจฉริยะได้ยังมีอีกหลายข้อเลย ลองไปดูกันว่าน้องๆ จะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองในด้านไหนบ้าง^^

1. หัดบันทึกความคิดที่แว๊บเข้ามาในหัว
เคยเป็นมั้ยคะ บางทีเวลาเราตั้งใจคิดอะไรมักจะคิดไม่ออก ส่วนเวลาที่คิดออกน่ะเหรออ อยู่ห้องน้ำบ้างล่ะ บนรถเมล์บ้างล่ะ หรือกำลังเที่ยวเพลินๆ เลย น้องๆ ก็จะปล่อยความคิดนั้นให้หลุดลอยไป ทั้งๆ ที่มันเจ๋งมากกกกกก ดังนั้นสิ่งที่ควร "หัด" อย่างแรกเลย คือ หัดพกสมุดบันทึกไว้กับตัว เมื่อใดที่มีความคิดดีๆ แล่นเข้ามาในหัว ถึงจะไม่มีประโยชน์ในตอนนั้นก็ควรจดเอาไว้ก่อน อาจจะมีประโยชน์ในวันข้างหน้า บางทีเรากลับมาอ่านอาจจะรู้สึกเลยว่า เฮ้ย เราเคยคิดแบบนี้ได้ด้วยหรอ!!

นอกจากบันทึกความคิดที่แว็บเข้ามาแล้ว สมุดบันทึกของเรายังใช้บันทึกสิ่งที่พบเจอแปลกบ้าง ไม่แปลกบ้าง ไว้เป็นความรู้รอบตัวด้วยก็ได้ เรื่องบางเรื่องเมื่อได้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วบรรยายจากความรู้สึกของตัวเอง มีประโยชน์กว่าการอ่านจากหนังสือหลายเท่าเลยค่ะ ซึ่งในประเทศไทยก็มีบุคคลต้นแบบในเรื่องนี้ น้องๆ รู้จักกันดีแน่นอนค่ะ "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" นั่นเอง

   2. หัดตั้งคำถามซะบ้าง
คำถามคู่กับคำตอบ ดังนั้นถ้าอยากรู้คำตอบก็ควรหัดตั้งคำถามเองซะบ้าง อยู่ในห้องเรียนก็ไม่ใช่รอแต่ให้เพื่อนถาม อย่าคิดว่าเรื่องที่เราอยากรู้แต่ถ้าไม่รู้ขึ้นมาก็ช่างมัน เพราะเราจะไม่มีทางรู้คำตอบเลยนะคะ คนฉลาดมักจะมีจุดเริ่มต้นมาจากความขี้สงสัย เมื่อสงสัยแล้วก็จะดั้นด้นหาคำตอบมาให้ได้ นี่แหละค่ะหนทางของความฉลาด

หลักง่ายๆ ในการตั้งคำถาม คือ สังเกตสิ่งรอบตัว มองให้เห็นถึงแก่นของสิ่งของนั้นๆ ผ่านคำถาม 2W 1H คือ What Why How และลองหาคำตอบดู เช่น เห็นคนขี่มอเตอร์ไซด์ใส่หมวกกันน็อค ลองตั้งคำถามเล่นๆ ว่าทำไมต้องใส่หมวกกันน็อค หมวกกันน็อคทำมาจากอะไร ทำไมต้องเป็นทรงกลม เป็นต้น ลองหัดตั้งคำถามไปเรื่อยๆ จะรู้ว่ามันสนุกค่ะ^^

3. หัดใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
น้องๆ ทุกคนน่าจะมีงานอดิเรกอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็เพื่อความบันเทิงทั้งนั้น เล่นอินเทอร์เน็ต ดูหนัง ฟังเพลง พี่มิ้นท์อยากให้มองว่ากิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมยามว่างเพื่อผ่อนคลายหลังจากเครียดจัดๆ แต่ถ้ามีเวลาว่างประมาณนึงลองหากิจกรรมที่มีประโยชน์ดูบ้าง โดยเลือกได้ตามใจชอบ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี เล่นหมากฮอต โกะ หรือหัดวาดภาพก็ได้ เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเสริมทักษะอื่นๆ ได้ฝึกสมองทั้งสองด้าน และฝึกการแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านด้วย
ลองหากิจกรรมที่ดูเข้าเค้ากับความสามารถตัวเอง หรือสนใจมากๆ มาซักอย่างนึงแล้วลองเริ่มทำดู รับรองว่าจะพบความเปลี่ยนแปลงของตัวเองในทางที่ดีแน่นอนค่ะ

4. หัดทำอะไรที่ท้าทายอยู่เสมอ
น้องๆ อาจจะเห็นว่าคนที่เป็นอัจฉริยะมักจะแก้ปัญหาได้อยู่เสมอ และชื่นชอบที่จะแก้ปัญหาเอาซะด้วย อย่างเวลาเราเจอโจทย์เลขยากๆ ก็แก้ปัญหาด้วยการลอกเพื่อนซะเลย แต่เพื่อนเก่งๆ ของเราจะแก้จนกว่าจะได้ (โหดชะมัด) ดังนั้นคุณสมบัติในข้อนี้เราก็ควรมีซะบ้าง นั่นคืออย่าหนีปํญหา และทำอะไรที่ท้าทายๆ บ้าง

โจทย์เลขเป็นเพียงแค่ตัวอย่างค่ะ แต่ "อะไรๆ ที่ท้าทาย" พี่มิ้นท์หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่เคยทำ เช่น เวลาน้องๆ ไปเที่ยว ลองเปลี่ยนเส้นทางในเส้นที่เราไม่เคยไปดูบ้าง ทำกับข้าวกินเอง หรือ อ่านนิยายภาษาอังกฤษดูบ้าง น้องๆ อาจจะสงสัยว่าไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องเรียนเลยแล้วจะได้ผลหรอ? ขอบอกว่าถึงจะไม่ใช่เรื่องเรียนโดยตรง แต่อะไรที่ทำแล้วใช้สมองก็เท่ากับพัฒนาสมองทั้งนั้นค่ะ ค่อยๆ ฝึกไป แล้วเราจะเก่งขึ้นเอง

5. หัดรอบคอบ
น้องๆ สมัยนี้ค่อนข้างสมาธิสั้น เพราะสื่อเยอะ เทคโนโลยีใหม่ๆ เยอะ การที่เราไปใส่ใจทุกๆ อย่างจะทำให้ขาดสมาธิไป ดังนั้นหัดซะตั้งแต่วันนี้ เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรอบคอบมากขึ้น ก่อนจะทำอะไร ลองเช็คสิ่งผลที่จะเกิดตามมา วางแผนให้มีหลายๆ แผนในหัว เพื่อให้สมองได้ประมวลความคิดโดยรวม ยกตัวอย่างเช่น เล่นหมากฮอต ก่อนเดินหมากลองคิดคร่าวๆ ก่อนว่าถ้าเดินตัวนี้ จะเกิดผลอะไรตามมา หรือเดินตัวนี้ จะมีผลยังไงบ้าง ลองคิดหลายๆ ทางแล้วเลือกทางที่ดีที่สุด

และสุดท้ายอย่าลืมเช็คว่าสิ่งที่เราทำถูกต้องหรือยัง และถ้าแก้ไขตอนนั้นไม่ได้ จะนำไปเป็นบทเรียนในครั้งต่อไปอย่างไร เชื่อว่าแค่ข้อ 5 ข้อเดียวก็ทำให้น้องๆ ทั้งเก่งในเรื่องวิชาการแล้วยังเก่งในเรื่องการใช้ชีวิตอีกด้วย

เอาล่ะค่ะ 5 ข้อนี้เหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ง่าย เหมือนจะยากแต่ก็ไม่ยาก พี่มิ้นท์พูดแบบนี้ไม่ได้สับสนในตัวเองหรอกนะคะ แค่อยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องส่วนบุคคล จะทำได้หรือไม่ได้อยู่ที่ความตั้งใจของน้องๆ เอง เชื่อว่าหลายคน "อยาก" ที่จะเรียนเก่ง หรือเป็นคนเก่ง และ 80% ของคนกลุ่มนี้ กลับไม่เคยเริ่มต้นอะไรเพื่อที่พาไปตัวเองไปเป็น "คนเก่ง" เลย ดังนั้นหวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้น้องๆ มีกำลังใจที่จะพัฒนาตัวเองนะคะ

ความเก่งเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ขอแค่เริ่มหัดหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ก็ได้แล้วจ้าาา :)

คนคุณภาพ
 ทำตัวเองให้ดูเป็นคนมีคุณภาพ โดยเริ่มจากรับผิดชอบงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ดีซะก่อน แล้วค่อยคิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น
ฉลาดอย่างถูกต้อง
 หากเราต้องการให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนฉลาด อย่าทำผิดศีลธรรมเป็นอันขาด ไม่ใช่เพราะโกงหรือหลอกลวงคนอื่นว่าเราฉลาด เพราะความฉลาดต้องมาจากความฉลาดอย่างถูกต้องเท่านั้น ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นความฉลาดที่ยั่งยืน
อัพเดทข่าวใหม่เสมอ
 ติดตามข้อมูลข่างสารใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ อ่านหนังสือพิมพ์ให้มากกว่า ฉบับต่อวัน ถ้าเป็นไปได้ยามว่างก็ลองหานิตยาสารดีๆซักเล่มมานั่งอ่าน ให้หัวสมองได้ทำงานบ้าง
ใช้เหตุผล...และคิดก่อนทำ
 เคยเห็นคนโกรธ โมโหร้าย ใช้แต่อารมณ์โดยไม่ฟังเหตุผลหรือเปล่า สถาพคงไม่น่ามองแน่ๆ แล้วถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างนั้นหรอ อย่าลืมซะว่า เหตุผล มาก่อนอารมณ์มันดีกว่าเป็นไหนๆ คนฉลากที่ไหนเค้าก็ทำกันทั้งนั้น ถ้างั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราแล้วล่ะว่า จะเลือกที่จะฉลาด หรือโง่ ล่ะ
nobody's perfect
 เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าnobody's perfectจงรู้จักที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นสิ่งเตือนความจำ น้องๆเคยได้ยิน คำว่า ผิดเป็นครู” หรือเปล่าจ๊ะ นั่นแหละ เค้าต้องการจะสอนว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะสอนเราให้เราเก่งและฉลาดขึ้น เพื่อพร้อมจะเผชิญหน้าต่ออุปสรรค์ต่างๆ
ไม่เหมือนใคร
 คิดซะว่า ตัวเรามีแค่คนเดียวไม่ซ้ำใคร อย่าเอาตัวเองไปเปรียบกับคนอื่น ข้อดีข้อเสีย จุดด้อยจุดเด่น ของแต่ละครย่อมไม่เหมือนกันอีกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเป็นตัวของตัวเองกันดีกว่า ลองดึงจุดเด่น และข้อดี ของตัวเราออกมาใช้ดูซิ แล้วจะพบว่า ตัวเองมีค่าขึ้นอีกเยอะเลย
ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.dek-d.com

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

3 ด่าน ผ่านแล้วรวย!!!

ถ้าชีวิตคือเกมอะไรสักอย่าง และจุดหมายคือไปสู่อิสรภาพทางการเงิน
ผมคิดว่ามันมีอยู่ 3 ด่านที่เราต้องผ่านให้ได้
หนึ่ง หาเงินให้เก่ง
สอง เก็บเงินให้อยู่
สาม ลงทุนจากเงินเก็บนั้นให้งอกเงย


ด่านแรก "หาเงินให้เก่ง"
....ในอาชีพเดียวกัน มีคนมีรายได้ตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้าน ถามว่าเพราะอะไร?
ก็เพราะโลกนี้จ่ายเงินตามความสามารถ ไม่ใช่ชื่ออาชีพที่เราทำอยู่
..วิธีแก้คือ 
คุณต้องหาความรู้เพิ่ม เรียนรู้ตลอดชีวิต 
สร้างความแตกต่าง อย่าเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ ที่ฝีมือธรรมดา 
แถมยังไม่ตั้งใจทำงานอีก

ด่านที่สอง "เก็บเงินให้อยู่"
...หลายคนผ่านด่านแรกมาได้ แต่มาตายด่านนี้
เป็นได้ยังไงที่บัญชีธนาคารคนเงินเดือนแสน
มีเงินเก็บน้อยกว่าคนเงินเดือนหมื่น?
เฉลย : เพราะบางคนหาเงินเก่ง แต่ใช้เงินเก่งกว่า
...วิธีแก้คือ 
คุณต้องรู้จักสมการนี้ 
"เหลือจ่ายค่อยเอามาเก็บ = ชีวิตนี้ยากจน" 
แต่ถ้า "เหลือเก็บค่อยเอาไปใช้ = ชีวิตนี้จนยาก"
ใครเก็บเงินไม่อยู่ ผมแนะนำให้เปิดอีกบัญชี
แล้วสั่งธนาคารตัดเงินอัตโนมัติเข้าบัญชีนั้นทุกวันที่ 1 
จะเดือนละพัน เดือนละหมื่น ก็แล้วแต่กำลังศรัทธา

ด่านสุดท้าย "ลงทุนจากเงินเก็บนั้นให้งอกเงย"
....ด่านนี้น้อยคนที่จะฝ่าไปได้ นอนสลบจบสนิทมาแล้วหลายราย
บางคนกล้ามาก เอาไปลุยเล่นหุ้นเอง เพราะได้ "หุ้นเด็ด" มา
สุดท้ายกลายเป็น "หุ้นเด็ดวิญญาณ"
...วิธีแก้คือ 
ถ้าคุณมีเวลาและความสามารถ คุณต้องศึกษาเรียนรู้ก่อนจะลงทุน
แต่ถ้าคุณไม่มีเวลา ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องลงทุน
เดี๋ยวนี้ง่ายมากจนคนยุคก่อนมองค้อนด้วยความอิจฉา
..ครับ! ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องเป็นระดับเจ้าสัว 
ธนาคารถึงมาดูแลอย่างดีแต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องรวยร้อยล้าน
หลายธนาคารก็พร้อมบริการการเงินส่วนบุคคล
มีผู้จัดการการเงินส่วนบุคคลและที่ปรึกษาทางการเงินมาให้คุณ
คุณแค่เอาเงินมาวาง เดี๋ยวเค้าดูแลเรื่องการลงทุนให้
จะออมทรัพย์ ตราสารหนี้ ตราสารทุน ประกันชีวิตเขาจัดพอร์ตให้หมด

...พูดง่าย ๆ ว่ามีเงินสัก 10 ล้านก็แทบจะมีธนาคารส่วนตัวแล้วล่ะ
(ล่าสุดแบงค์กรุงศรี เค้ามีบริการกรุงศรีเอ็กซ์คลูซีฟ)
มีเงินแค่ 5 ล้านบาท ก็มีที่ปรึกษาทางการเงินได้แล้ว
ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับบริการที่ได้
และที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ
ที่ปรึกษาของที่นี่ "พูดจาภาษามนุษย์"
ไม่ใช่ภาษาการเงินการลงทุนที่เข้าใจยากเกิ๊น มันโดนตรงเนี้ยแหละ 555+)

...โอเค! คุณอาจจะบ่นว่าจะไปหา 5 ล้านมาจากไหน?
..ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันง่ายนี่ครับ
เพียงแต่จะบอกว่ายุคนี้โอกาสทุกอย่างมันเอื้อเราจริง ๆ
ไม่มีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่คนตัวเล็กๆ จะมีโอกาสเท่านี้
ทั้งโอกาสในการหารายได้ โอกาสในการเก็บเงิน
และโอกาสที่จะมีคนมาช่วยดูแลการลงทุน มาจัดพอร์ตให้
..ที่เหลืออยู่ที่ตัวคุณเองแล้วล่ะครับ
ว่าจะมีความพยายามจนผ่านด่านทั้งสามนี้ไปได้หรือไม่
หาเงินให้เก่ง เก็บเงินให้อยู่ ลงทุนจากเงินเก็บนั้นให้งอกเงยเพียงเท่านี้
อิสรภาพทางการเงินก็รอคุณอยู่ไม่ไกล
เอ้า! เป็นกำลังใจให้ครับ


บทความโดย : คุณ Boywisoot

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

• ศัพท์ภาษาอังกฤษน่ารู้สำหรับการกรอกใบสมัครงาน

นำมารวมพอสังเขปไปก่อนนะครับ

Application Form แบบฟอร์มสมัครงาน
Application Letter จดหมายสมัครงาน
Applicant / Candidate ผู้สมัครงาน
To be complete in own handwriting เขียนใบสมัครด้วยลายมือตนเอง
Confidential เป็นความลับ
Position applied for/Position sought/Position Desire ตำแหน่งที่สมัคร/ต้องการ
Salary expected เงินเดือนที่ต้องการ
Personal Data /Curriculum vitae (CV)/Bio Data/Data Sheet/ Resume ประวัติส่วนตัว
Nationality สัญชาติ
Race เชื้อชาติ
Identification Card ( ID Card ) บัตรประชาชน
Issued by ออกให้โดย
Maritial Status สถานภาพสมรส
Single เป็นโสด Married แต่งงานแล้ว Widowed เป็นหม้าย Divorce หย่าร้าง
Person to notify in case of emergency  บุคคลติดต่อกรณีฉุกเฉิน
Certificate degree obtained ประกาศณียบัตรหรือปริญญาที่ได้รับ
Military status สถานภาพทางการทหาร
Experience / Previous employment ประสบการณ์การทำงาน
Reason for leaving เหตุผลที่ออกจากงาน (เก่า)
References / Referees บุคคลอ้างอิง
Applicant Signature ลายเซ็นผู้สมัคร
Reserved Officer's Training Corps Course (ROTC) หลักสูตร รด.
No Military Service Obligation ไม่มีพันธะทางทหาร
Self employed ทำงานส่วนตัว
Equivalent Qualification คุณวุฒิเทียบเท่า
Letter of Reccommendation / Employment Certificate / Testimonial จดหมาย/เอกสารรับรองการผ่านงาน
Birth Certificate สูติบัตร
Vocational Certificate ปวช.
Higher Vocational Certificate ปวส.
Home Registration Certificate ทะเบียนบ้าน
Dependent ผู้อยู่ในอุปการะ
Extra-Curricular Activities กิจกรรมนอกหลักสูตร
Special skill ความชำนาญพิเศษ
Expert in เชี่ยวชาญใน....
Negotiable สามารถต่อรองได้
Guarantor ผู้คำประกัน
Fringe Benefits ผลประโยชน์ที่ลูกจ้างได้รับนอกจากรายได้ประจำ
Spouse คู่สมรส
Date of attended วันที่เข้าเรียน
Military Discharge Letter / Certificate of exemption from military service ใบปลดประจำการทหาร

เทคนิคการ สมัครงาน ขั้นเทพ

สวัสดีทุกท่าน
 คนที่เกรดเฉลี่ยน้อยมากๆ การสมัครงานถ้าไม่เตรียมพร้อม ยังไงก็ไม่ได้ ณ ขณะที่คุณอ่าน Blog ผม คุณรู้ไหมมีคนอีกเป็นหมื่นใช้เวลากลับการเตรียมตัว เพื่อสมัครงาน 
ขั้นตอนการสมัครสำหรับ คนเกรดน้อยกว่า 2.75
1. ต้องแสดงความตั้งใจในการสอบสัมภาษณ์
  คำถามต่างๆนานา จะใส่คุณจนตั้งตัวไม่อยู่ เพื่อจะดูความตั้งใจคุณ การที่คุณกรอกใบสมัคร เขียนอะไรไว้ เค้าจะถามเรื่องพวกนั้น ฉะนั้นจงเขียนแต่ความจริง หรือถ้าเนี่ยได้ก็เนี่ยไป
2.เตรียมตอบคำถาม แถม ยิงคืนด้วย  (มีคนโหวตว่าข้อนี้ สำคัญ)
  คำถามพวกคิดยังไงกับอนาคต วางแผนอนาคตยังไง คุณเป็นผู้นำหรือผู้ตาม
 เวลายิงคืน ขอเนี่ยๆๆอย่าทำให้เค้าดูว่าเราก้าวร้าว "ผมขอถามหน่อยครับ" เชื่อว่าเค้าถามคนอื่นมาเยอะแล้ว มีคนถามเค้าบ้างก็ดีนะ  ถามแบบฉลาดๆๆหน่อยนะ ขอยกตัวอย่าง " บริษัทเราลูกค้าเยอะไหมครับ , ลูกค้าลักษณะไหน เป็นต้น
3.รูปร่าง ความสง่า คือ หน้าตาบริษัทอีกทางหนึ่ง
   คงไม่มีเจ้านายคนไหนที่ หน้าตาไม่ดีเป็นเจ้านายคุณใช่ไหม หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ยิ่งงานทีีี่ต้องพบลูกค้า " ขอหยาบหน่อย - สวยแต่โง่ ก็เอา  เพราะพบลูกค้านิ ความรู้จริงๆของงาน สอนกันใหม่ได้"   มีอีกกรณีครับ น้องสวนมากๆ จนไม่กล้ารับ สูงยาวเข่าดี สวยงามมาก Manager บอกว่า น้องน่าจะไปทำพวกการบินไทย ไม่น่ามาทำงานแบบนี้ เลยไม่รับ..เเบบนี้ก็มีครับ
4.การมีประสบกราณ์สำคัญ
 เคยทำงานอะไรบ้าง ร่วมกิจกรรมอะไรมาบ้าง ขอให้ตอบเกี่ยวกับงาน ที่ทำกิจกรรม ฝึกทำงานเป็นทีมก็ตอบไป" ออกค่ายช่วยเหลือสังคม
"ในบริษัทที่ใหญ่ๆจะอยู่ได้นานต้องมีการคืนกำไรต่อลูกค้า "
5.เคยเจอครับ ตายน้ำตื้น ลืมวิชา Basic เจอสูตรคูณเข้าไป
 เจ้านายโดยเฉพาะวิชาที่คำนวณ ต้องการความถูกต้อง เร็ว ฉะนั้นเตรียมตัวไว้ครับ  วิชาพื้นฐาน ศัพท์พื้นๆจำเป็น  เค้าอยากได้คนที่พร้อมทำงานเลยพรุ่งนี้
6.ไปสอบสัมภาษณ์หลายๆๆที่ ลดอาการตื่นเต้น
 เวลาเจอบริษัทที่อยากได้ จะได้มีความมั่นใจ ลองสอบสัมภาษณ์เยอะๆๆ ไปแล้วไม่เสียหายแน่นอนครับ แถมเตรียมความพร้อมตลอดเวลาให้เราอีก
7.ความมั่นใจ นั้นสำคัญ
 ก่อนเข้าได้มั่นใจยังไงเราก็ได้ เตรียมตัวไปเยอะๆ จะได้ไม่พลาด ผลพลอยได้จากข้อ 6 ครับ
8.อุปกรณ์การเขียน การแต่งตัว 
 ปากกา whiteboard Liquid ดินสอ ยางลบ จัดไปให้ครบ ส่วนการเเต่งตัวสุภาพ เสื้อเชิ๊ต กางเกงสุภาพ รองเท้าหนัง เอาแบบว่าเห็นแล้วให้คนเห็นว่า "อืม น่าสนใจ ดูสะอาดดี"   ถ้าลืมปากกามา โดนไล่กลับไปแล้ว กางเกงขาเดฟ ขาดๆเกินๆ งดช่วงสมัครงานนี้เลย..
9.คำถามเรื่องฐานะทางบ้าน
 ตอบอย่างมั่นใจเลยว่า ครอบครัวเราอบอุ่น ไม่มีปัญหาทั้งที่มีปัญหา ลองคิดดู คุณคงไม่อยากรับคนที่มีปัญหามาร่วมงานมากนักใช่ไหม

ปล.สำหรับคนที่มีความคิดเห็นต่างๆๆ Post ได้เลยครับ
แค่นี้ก่อนนะ
"งานด่วน มาก่อน งานใหญ่"
I Love Wonder Girl  cr. by woraponr

ตัวอย่าง resume (ขั้นเทพ) เทคนิคและวิธีการ เขียนให้ได้งานทำ

เทคนิคการเขียนเรซูเม่ (Resume)
1.กระชับและรัดกุม
Resume ที่ดี ควรเขียนให้กระชับ ชัดเจน หลีกเลี่ยงการใช้ย่อหน้ายาวเกินไป และควรประกอบไปด้วยรายละเอียดข้อมูลที่จำเป็นและเป็นประโยชน์กับคุณเอง โดยไม่ควรให้ยาวเกิน 1 หน้ากระดาษ A4  หรือ ยกเว้นว่า ถ้ามีข้อมูลที่สำคัญหรือเป็นประโยชน์จริงๆ และไม่สามารถจบได้ใน 1 หน้า ก็อาจยาวเป็น 2 หน้าได้ แต่ถ้าหากข้อมูลนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์หรือไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณจะสมัครงานเลยก็ไม่ควรให้ยาว 1หน้าจะดีที่สุด
2. เลือกใช้คำที่ดึงดูดน่าสนใจ
 การใช้ภาษาใน Resume นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก Resume ที่ดีจะต้องชัดเจน อ่านง่าย และสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว โดยควรเน้นใช้คำที่เน้นถึงความสามารถ ความสำเร็จที่ผ่านมาและให้ละการใช้คำประธาน เช่น “กระผม” หรือ “ดิฉัน” รวมถึง หลีกเลี่ยงการใช้รูปแบบประโยคแบบถูกกระทำ
3. ย้ำเน้นให้เห็นประสบการณ์ความสามารถของตัวคุณ
 - อย่าเขียนให้คลุมเครือ ควรเขียนในสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้ง เช่น “สามารถเพิ่มยอดขายจากปีที่ผ่านมาถึง 20 % เป็นต้น
 - ควรซื่อสัตย์ เขียนแต่สิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น ไม่ควรเขียนเท็จหรือโอ้อวดจนเกินจริง เพราะสามารถจับผิดได้ไม่ยากในขั้นตอนการสัมภาษณ์งานหรือหากโอกาสคุณโชคดี ได้งานทำก็อาจถูกเชิญออกได้ภายหลัง หากข้อเท็จจริงปรากฏขึ้น
4. อย่าละเลยรูปร่างหน้าตาของ Resume
 Resume เป็นสิ่งที่จะสร้างความประทับใจครั้งแรกให้กับผู้ว่าจ้าง ดังนั้น Resume ที่จะดึงดูดผู้อ่านจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับถ้อยคำที่คุณบรรจงแต่งลงไปใน Resume เท่านั้น แต่คุณยังต้องให้ความสำคัญด้วยว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้ถ้อยคำเหล่านั้นมีค่ามากขึ้นมาด้วย
หัวข้อที่ต้องมีในการเขียน Resume
1. วัตถุประสงค์ ตำแหน่ง ขอบเขตของลักษณะงานที่ต้องการ
2. ข้อมูลส่วนตัว ชื่อ – นามสกุล, ที่อยู่ รหัสไปรษณีย์, หมายเลขโทรศัพท์
3. ประสบการณ์ เรียงจากปัจจุบันย้อนไปอดีต
4. วุฒิการศึกษาเรียงจากหลังสุดไป
5. กิจกรรมนอกหลักสูตร,งานสังคม,กิจกรรมชุมชน
6. ความสามารถพิเศษ, งานอดิเรก
7. ความสำเร็จ,จากประสบการณ์การทำงาน,ในระหว่างเรียน,ผลงาน,ทุนการศึกษา
8. ข้อมูลส่วนบุคคล,บุคลิก,ลักษณะเด่นที่มีประโยชน์ต่องาน
9. ผู้รับรอง/บุคคลอ้างอิง
10. รูปถ่ายหน้าตรง 1 หรือ 2 นิ้ว แต่งกายสุภาพเหมาะสม
ตัวอย่าง Resume ภาษาไทย
โสภณ  สุวรรณแพทย์
     35/7 ถนน สาทรเหนือ ยานนาวา กทม. 10120
โทร 02-216-8941, 084-645-7000
sosuwannapat@hotmail.com
จุดมุ่งหมายทางอาชีพ และคุณสมบัติ
      มีความประสงค์จะใช้ความสามารถ  ในด้านการจัดการ  ทำงานฝ่ายบุคคลโดยเฉพาะการพัฒนามนุษย์และพัฒนาองค์กร ในธุรกิจขนาดกลาง
- เคยได้รับคัดเลือกเป็นประธานชมรม “เพื่อนช่วยเพื่อน” ดูแลนักศึกษารุ่นน้องในเรื่องของการเรียน และแนวทางการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย เป็นเวลา 2 ปี
- เป็นกรรมการจัดทำวารสาร “ปาริชาต” ซึ่งเป็นวารสารเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย เป็นเวลา 1 ปี
- เคยเป็นผู้นำกลุ่มในการทำกิจกรรมเพื่อพัฒนามหาวิทยาลัยและได้รับเกียรติบัตรแสดงความขอบคุณจากอธิการบดี
การศึกษา
- สำเร็จปริญญาตรี บริหารธุรกิจ ปี พ.ศ. 2550
- วิชาเอก การบริหารทั่วไป วิชาโท สังคมวิทยา
- มหาวิทยาลัย ทักษิณ
ประวัติส่วนตัว
- วัน เดือน ปี เกิด : 5 สิงหาคม 2526
- สุขภาพแข็งแรงดี สถานภาพทางการสมรส โสด
- สถานภาพทางทหาร
ประสบการณ์
- เคยทำงานขายเสื้อผ้า หารายได้พิเศษเพื่อเป็นทุนการศึกษาในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน และสามารถหาเงินได้ปีละประมาณ 10,000 – 20,000 บาท
- เคยเป็นอาสาสมัครทำงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติสึนามิ มีหน้าที่คอยช่วยเหลือทางด้านจิตใจของผู้ที่ประสบภัยธรรมชาติ เป็นเวลา 2 เดือนเศษ ได้รับคำชมเชยจากอาจารย์และเจ้าหน้าที่ว่าทุ่มเทให้กับการทำงานดีมาก
ทักษะพิเศษ
- มีมนุษยสัมพันธ์และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี
- พูดภาษาอังกฤษได้ มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ในระดับปานกลาง (Word, Excel, Internet )
- สนใจดนตรีหลายประเภท โดยเฉพาะดนตรี แจ๊ซ
- มีรถจักรยานยนต์ของตนเอง และสามารถขับรถได้

ตัวอย่าง Resume ภาษาอังกฤษ
NITAYA   SOPONGPUN
48  MOO 4  SATHORN ROAD
BANGKOK  10120
TELEPHONE............
CAREER OBJECTIVE : To design and implement programs in broadcast journalism and to Use my    skills in communications to develop innovative television and radio dialogue
EXPERIENCE  :  COMMUNICATIONS – Helped edited university ‘s Newspaper for 1 years.  LEADERSHIP – Coordinated a fund-raising Drive for an audio-visual club.  BROADCAST JOURNALISM - Designed an educational program for children Received award from my professor.

EDUCATION  : Bachelor of Arts Degree, 1990 
……………………….University
Major  :  Mass Communications
Minor  :  Audio Visua
PERSONAL  Birthday              :  June 3,  1980
INFORMATION  :  Marital Status     :  Single
Health                  :  Excellent
Interest                 :  Reading , Tennis
OTHER  Ability to type both Thai and English at 50 wpm.  Communicate effectively in
QUALIFICATIONS  : writing and speaking both Thai and Chinese languages
REFERENCES  :  Available upon request