พูดถึง Genius ขึ้นมา น้องๆ คงนึกถึงกลุ่มเพื่อนที่ไปสอบโอลิมปิกวิชาการแล้วกอบโกยเหรียญรางวัลกลับมามากมาย -0- ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นหรอกค่ะ คำว่า Genius ไม่ได้หมายถึงเด็กเรียนเก่งเว่อร์ๆ อัจฉริยะมาตั้งแต่เกิด แต่ความฉลาดเกิดขึ้นจากระบบความคิดทางสมอง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ว่าใครก็สามารถพัฒนาตัวเองได้ นี่ไม่ใช่คำพูดปลอบใจนะคะ เพราะบางคนตอนเด็กๆ เรียนรั้งท้ายในห้องตลอด แต่ความพยายามในการฝึกฝนก็ทำให้เค้าแซงเพื่อนมาเป็นที่ 1 ได้ง่ายๆ เลย
แต่ก่อนจะไปรู้จักวิธีพัฒนาตัวเอง ต้องรู้ก่อนว่าคนฉลาดมีวิธีคิดยังไง? โดยทั่วไประบบวิธีคิดของคนฉลาดจะมองทุกอย่างรอบด้านและสามารถคิดเป็นภาพได้
ในเคล็ดลับการเรียนหลายๆ เรื่องของพี่มิ้นท์และบทความพัฒนาสมองของพี่เกียรติ จะให้ความสำคัญกับการคิดเป็นภาพเสมอ เพราะวิธีนี้ช่วยให้สมองทำงานมีประสิทธิภาพจริงๆ ค่ะ เช่น คนธรรมดาทั่วไปอ่านหนังสือก็อ่านตัวอักษรให้มันจบๆ ไป ส่วนคนที่สมองทำงานเป็นระบบหน่อย จะใช้สมองทั้งสองข้าง พูดง่ายๆ คือ อ่านตัวหนังสือด้วยและใช้จินตนาการสร้างเป็นภาพหรือเหตุการณ์ขึ้นไปด้วย ซึ่งจะช่วยจดจำเรื่องที่อ่านได้ดีสุดๆ ถ้าอยากเป็นคนที่มีทักษะนี้บ้างคงต้องฝึกกันบ่อยๆ นะคะ ส่วนพฤติกรรมอื่นที่จะโยงไปสู่ความเป็นอัจฉริยะได้ยังมีอีกหลายข้อเลย ลองไปดูกันว่าน้องๆ จะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองในด้านไหนบ้าง^^
1. หัดบันทึกความคิดที่แว๊บเข้ามาในหัว
เคยเป็นมั้ยคะ บางทีเวลาเราตั้งใจคิดอะไรมักจะคิดไม่ออก ส่วนเวลาที่คิดออกน่ะเหรออ อยู่ห้องน้ำบ้างล่ะ บนรถเมล์บ้างล่ะ หรือกำลังเที่ยวเพลินๆ เลย น้องๆ ก็จะปล่อยความคิดนั้นให้หลุดลอยไป ทั้งๆ ที่มันเจ๋งมากกกกกก ดังนั้นสิ่งที่ควร "หัด" อย่างแรกเลย คือ หัดพกสมุดบันทึกไว้กับตัว เมื่อใดที่มีความคิดดีๆ แล่นเข้ามาในหัว ถึงจะไม่มีประโยชน์ในตอนนั้นก็ควรจดเอาไว้ก่อน อาจจะมีประโยชน์ในวันข้างหน้า บางทีเรากลับมาอ่านอาจจะรู้สึกเลยว่า เฮ้ย เราเคยคิดแบบนี้ได้ด้วยหรอ!!
นอกจากบันทึกความคิดที่แว็บเข้ามาแล้ว สมุดบันทึกของเรายังใช้บันทึกสิ่งที่พบเจอแปลกบ้าง ไม่แปลกบ้าง ไว้เป็นความรู้รอบตัวด้วยก็ได้ เรื่องบางเรื่องเมื่อได้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วบรรยายจากความรู้สึกของตัวเอง มีประโยชน์กว่าการอ่านจากหนังสือหลายเท่าเลยค่ะ ซึ่งในประเทศไทยก็มีบุคคลต้นแบบในเรื่องนี้ น้องๆ รู้จักกันดีแน่นอนค่ะ "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" นั่นเอง
2. หัดตั้งคำถามซะบ้าง
คำถามคู่กับคำตอบ ดังนั้นถ้าอยากรู้คำตอบก็ควรหัดตั้งคำถามเองซะบ้าง อยู่ในห้องเรียนก็ไม่ใช่รอแต่ให้เพื่อนถาม อย่าคิดว่าเรื่องที่เราอยากรู้แต่ถ้าไม่รู้ขึ้นมาก็ช่างมัน เพราะเราจะไม่มีทางรู้คำตอบเลยนะคะ คนฉลาดมักจะมีจุดเริ่มต้นมาจากความขี้สงสัย เมื่อสงสัยแล้วก็จะดั้นด้นหาคำตอบมาให้ได้ นี่แหละค่ะหนทางของความฉลาด
หลักง่ายๆ ในการตั้งคำถาม คือ สังเกตสิ่งรอบตัว มองให้เห็นถึงแก่นของสิ่งของนั้นๆ ผ่านคำถาม 2W 1H คือ What Why How และลองหาคำตอบดู เช่น เห็นคนขี่มอเตอร์ไซด์ใส่หมวกกันน็อค ลองตั้งคำถามเล่นๆ ว่าทำไมต้องใส่หมวกกันน็อค หมวกกันน็อคทำมาจากอะไร ทำไมต้องเป็นทรงกลม เป็นต้น ลองหัดตั้งคำถามไปเรื่อยๆ จะรู้ว่ามันสนุกค่ะ^^
3. หัดใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
น้องๆ ทุกคนน่าจะมีงานอดิเรกอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็เพื่อความบันเทิงทั้งนั้น เล่นอินเทอร์เน็ต ดูหนัง ฟังเพลง พี่มิ้นท์อยากให้มองว่ากิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมยามว่างเพื่อผ่อนคลายหลังจากเครียดจัดๆ แต่ถ้ามีเวลาว่างประมาณนึงลองหากิจกรรมที่มีประโยชน์ดูบ้าง โดยเลือกได้ตามใจชอบ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี เล่นหมากฮอต โกะ หรือหัดวาดภาพก็ได้ เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเสริมทักษะอื่นๆ ได้ฝึกสมองทั้งสองด้าน และฝึกการแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านด้วย
ลองหากิจกรรมที่ดูเข้าเค้ากับความสามารถตัวเอง หรือสนใจมากๆ มาซักอย่างนึงแล้วลองเริ่มทำดู รับรองว่าจะพบความเปลี่ยนแปลงของตัวเองในทางที่ดีแน่นอนค่ะ
4. หัดทำอะไรที่ท้าทายอยู่เสมอ
น้องๆ อาจจะเห็นว่าคนที่เป็นอัจฉริยะมักจะแก้ปัญหาได้อยู่เสมอ และชื่นชอบที่จะแก้ปัญหาเอาซะด้วย อย่างเวลาเราเจอโจทย์เลขยากๆ ก็แก้ปัญหาด้วยการลอกเพื่อนซะเลย แต่เพื่อนเก่งๆ ของเราจะแก้จนกว่าจะได้ (โหดชะมัด) ดังนั้นคุณสมบัติในข้อนี้เราก็ควรมีซะบ้าง นั่นคืออย่าหนีปํญหา และทำอะไรที่ท้าทายๆ บ้าง
โจทย์เลขเป็นเพียงแค่ตัวอย่างค่ะ แต่ "อะไรๆ ที่ท้าทาย" พี่มิ้นท์หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่เคยทำ เช่น เวลาน้องๆ ไปเที่ยว ลองเปลี่ยนเส้นทางในเส้นที่เราไม่เคยไปดูบ้าง ทำกับข้าวกินเอง หรือ อ่านนิยายภาษาอังกฤษดูบ้าง น้องๆ อาจจะสงสัยว่าไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องเรียนเลยแล้วจะได้ผลหรอ? ขอบอกว่าถึงจะไม่ใช่เรื่องเรียนโดยตรง แต่อะไรที่ทำแล้วใช้สมองก็เท่ากับพัฒนาสมองทั้งนั้นค่ะ ค่อยๆ ฝึกไป แล้วเราจะเก่งขึ้นเอง
5. หัดรอบคอบ
น้องๆ สมัยนี้ค่อนข้างสมาธิสั้น เพราะสื่อเยอะ เทคโนโลยีใหม่ๆ เยอะ การที่เราไปใส่ใจทุกๆ อย่างจะทำให้ขาดสมาธิไป ดังนั้นหัดซะตั้งแต่วันนี้ เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรอบคอบมากขึ้น ก่อนจะทำอะไร ลองเช็คสิ่งผลที่จะเกิดตามมา วางแผนให้มีหลายๆ แผนในหัว เพื่อให้สมองได้ประมวลความคิดโดยรวม ยกตัวอย่างเช่น เล่นหมากฮอต ก่อนเดินหมากลองคิดคร่าวๆ ก่อนว่าถ้าเดินตัวนี้ จะเกิดผลอะไรตามมา หรือเดินตัวนี้ จะมีผลยังไงบ้าง ลองคิดหลายๆ ทางแล้วเลือกทางที่ดีที่สุด
และสุดท้ายอย่าลืมเช็คว่าสิ่งที่เราทำถูกต้องหรือยัง และถ้าแก้ไขตอนนั้นไม่ได้ จะนำไปเป็นบทเรียนในครั้งต่อไปอย่างไร เชื่อว่าแค่ข้อ 5 ข้อเดียวก็ทำให้น้องๆ ทั้งเก่งในเรื่องวิชาการแล้วยังเก่งในเรื่องการใช้ชีวิตอีกด้วย
เอาล่ะค่ะ 5 ข้อนี้เหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ง่าย เหมือนจะยากแต่ก็ไม่ยาก พี่มิ้นท์พูดแบบนี้ไม่ได้สับสนในตัวเองหรอกนะคะ แค่อยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องส่วนบุคคล จะทำได้หรือไม่ได้อยู่ที่ความตั้งใจของน้องๆ เอง เชื่อว่าหลายคน "อยาก" ที่จะเรียนเก่ง หรือเป็นคนเก่ง และ 80% ของคนกลุ่มนี้ กลับไม่เคยเริ่มต้นอะไรเพื่อที่พาไปตัวเองไปเป็น "คนเก่ง" เลย ดังนั้นหวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้น้องๆ มีกำลังใจที่จะพัฒนาตัวเองนะคะ
ความเก่งเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ขอแค่เริ่มหัดหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ก็ได้แล้วจ้าาา :)
คนคุณภาพ
ทำตัวเองให้ดูเป็นคนมีคุณภาพ โดยเริ่มจากรับผิดชอบงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ดีซะก่อน แล้วค่อยคิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น
ฉลาดอย่างถูกต้อง
หากเราต้องการให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนฉลาด อย่าทำผิดศีลธรรมเป็นอันขาด ไม่ใช่เพราะโกงหรือหลอกลวงคนอื่นว่าเราฉลาด เพราะความฉลาดต้องมาจากความฉลาดอย่างถูกต้องเท่านั้น ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นความฉลาดที่ยั่งยืน
อัพเดทข่าวใหม่เสมอ
ติดตามข้อมูลข่างสารใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ อ่านหนังสือพิมพ์ให้มากกว่า 1 ฉบับต่อวัน ถ้าเป็นไปได้ยามว่างก็ลองหานิตยาสารดีๆซักเล่มมานั่งอ่าน ให้หัวสมองได้ทำงานบ้าง
ใช้เหตุผล...และคิดก่อนทำ
เคยเห็นคนโกรธ โมโหร้าย ใช้แต่อารมณ์โดยไม่ฟังเหตุผลหรือเปล่า สถาพคงไม่น่ามองแน่ๆ แล้วถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างนั้นหรอ อย่าลืมซะว่า เหตุผล มาก่อนอารมณ์มันดีกว่าเป็นไหนๆ คนฉลากที่ไหนเค้าก็ทำกันทั้งนั้น ถ้างั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราแล้วล่ะว่า จะเลือกที่จะฉลาด หรือโง่ ล่ะ
nobody's perfect
เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าnobody's perfectจงรู้จักที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นสิ่งเตือนความจำ น้องๆเคยได้ยิน คำว่า ผิดเป็นครู หรือเปล่าจ๊ะ นั่นแหละ เค้าต้องการจะสอนว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะสอนเราให้เราเก่งและฉลาดขึ้น เพื่อพร้อมจะเผชิญหน้าต่ออุปสรรค์ต่างๆ
ไม่เหมือนใคร
คิดซะว่า ตัวเรามีแค่คนเดียวไม่ซ้ำใคร อย่าเอาตัวเองไปเปรียบกับคนอื่น ข้อดีข้อเสีย จุดด้อยจุดเด่น ของแต่ละครย่อมไม่เหมือนกันอีกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเป็นตัวของตัวเองกันดีกว่า ลองดึงจุดเด่น และข้อดี ของตัวเราออกมาใช้ดูซิ แล้วจะพบว่า ตัวเองมีค่าขึ้นอีกเยอะเลย
ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.dek-d.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น